ธรรมเนียมแต่ก่อ…
วันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

พระราชพิธีพืชมงคลและพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เดือนหก จัดเป็นพิธีในศาสนาพราหมณ์
สมัยนั้นใช้พื้นที่ประกอบพิธีนอกเขตพระนคร บริเวณทุ่งส้มป่อย หรือทุ่งพญาไท ประกอบไปด้วยขบวนของพระยาแรกนา
กำลังถือไถนำหน้าเหล่าเทพีทั้งสี่ ผู้หาบคอน
การพระราชพิธีกล่าวเป็นสองชื่อ แต่เนื่องกันเป็นพิธีเดียวนี้ คือปันในสวดมนต์เป็นวันพระราชพิธีพืชมงคล ทำขวัญพืชพรรณต่างๆ มีข้าวเปลือก เป้นต้น จรดพระนังคัลเป็นพิธีเวลาเช้าคือลงมือไถ ถ้าจะแบ่งเป็นคนละพิธีก็ได้ ด้วยพิธีพืชมงคลไม่ได้ทำแต่ในเวลาค่ำวันสวดมนต์ รุ่งขึ้นเช้าก็ยังมีการเลี้ยงพระต่อไปอีก การจรดพระนังคัลนั้นเล่า ก็ไม่ได้ทำแต่วันซึ่งลงมือแรกนา เริ่มพระราชพิธีเสียแต่เวลาค่ำวันสวดมนต์พิธีพืชมงคลนั้นแล้ว พระราชพิธีพืชมงคลเป็นพิธีสงฆ์ทำที่ท้องสนามหลวงในพระนคร พระราชพิธีจรดพระนังคัลเป็นพิธีพรหมณ์ ทำที่ทุ่งส้มป่อยนอกพระนคร พิธีทั้งสองนั้นก็นับว่าทำพร้อมกันในคืนเดียววันเดียวกัน จึงได้เรียกชื่อติดกันว่า พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล
ฤกษ์การพระราชพิธีนี้ ต้องหาฤกษ์วิเศษกว่าฤกษ์อื่นๆ คือ กำหนดสี่อย่าง ฤกษ์นั้นอย่าให้ต้องวันผีเพลียอย่างหนึ่ง ให้ได้ศุภดิถีอย่างหนึ่ง ให้ได้บุรณฤกษ์อย่างหนึ่ง ให้ได้วันสมภเคราะห์อย่างหนึ่ง ตำราหาฤกษ์นี้เป็นตำราเกร็ด เขาสำหรับใช้เริ่มที่จะลงมือแรกนาหว่านข้าว ดำข้าว เกี่ยวข้าว ขนข้าว ขึ้นยุ้ง แต่ที่เขาใช้กันนั้นไม่ต้องหาฤกษ์อย่างอื่น ให้แต่ได้สี่อย่างนี้แล้ว ถึงจะวันอุบาทว์โลกาวินาศก็ใช้ได้ แต่ฤกษ์จรดพระนังคัลอาศัยประกอบฤกษ์ดีตามธรรมเนียมด้วยอีกชั้นหนึ่ง ตามแต่จะได้ลงวันใดในเดือนหก ดิถีซึ่งนับว่าผีเพลียนั้น ข้างขึ้นคือ 1, 4, 7, 8, 9, 10, 11, 15 ข้างแรม 1, 5, 6, 7, 8, 10, 13, 14 เป็นใช้ไม่ได้ ศุภดิถีนั้นก็คือดิถีตาว่าง ซึ่งไม่เป็นผีเพลียนั้นเอง บุรณฤกษ์นั้น คือ 2, 4, 5, 6, 8, 11, 14, 17, 22, 24, 26, 27 วันสมภเคราะห์ นั้น คือ วันจันทร์ วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ กับกำหนดธาตุอีกอย่างหนึ่งตามวันที่โหรแบ่งเป็น ปถวี อาโป เตโช วาโย ให้ได้ส่วนสัดกันแล้วเป็รใช้ได้ จะพรรณนาที่จะหาฤกษ์นี้ก็จะยืดยาวไป เพราะไม่มีผู้ใดที่จะต้องใช้อันใด
การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นธรรมเนียมมาแต่โบราณ เช่นในเมืองจีน
สี่พันปีล่วงมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ลงทรงไถนาเองเป็นคราวแรก พระมเหสีเลี้ยงตัวไหม ส่วนจดหมายเรื่องราวอันใดในประเทศสยามนี้ ที่มีปรากฏอยู่ในการแรกนานี้ก็มีอยู่เสมอเป็นนิตย์ไม่มีเวลาเว้นว่าง ด้วยการซึ่งผู้นั้นเป็นใหญ่ในแผ่นดินลงมือทำเองเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎรชักนำให้มีใจหมั่นในการที่จะทำนา เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้อาศัยเลี้ยงชีวิตทั่วหน้า เป็นต้นเหตุของความตั้งมั่นและความเจริญไพบูลย์แห่งพระนครทั้งปวง แต่การซึ่งพิธีเจือปนต่างๆ ไม่เป็นแต่ลงมือไถนาเป็นตัวอย่างเหมือนอย่างชาวนาทั้งปวงลงมือไถนาของตัวตามปรกติ ก็ด้วยความหวาดหวั่นต่ออัตรายคือน้ำฝน ไม่ให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิ และมีความปราถนาที่จะให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิเป็นกำลัง จึงได้ต้องแส่หาทางที่จะแก้ไข และทางที่จะอุดหนุดและที่จะเสี่ยงทายให้รู้ล่วงหน้าจะได้เป้นที่มั่นอกมั่นใจ ก็การที่จะแก้ไขเยียวยาน้ำฝนน้ำท่าซึ่งเป็นของเป็นไปตามฤดูปรกติเป็นเอง โดยอุบายลงแรกลงทุนอย่างไรไม่ได้ จึงต้องอาศัยคำอธิฐานเอาความสัตย์เป็นที่ตั้งบ้าง ทำการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นสวัสดิมงคล ตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง บูชาเซ่นสรวงตามที่มาทางไสยศาสตร์บ้าง ให้เป็นการช่วยแรงและเป็นที่มั่นใจตามความปรารถนาของมนุษย์ ซึ่งคิดไม่มีที่สุด
ก็ธรรมเนียมการแรกนา ซึ่งมามีในสยามแต่โบราณตามที่ค้นในหนังสือต่างๆ คือในหนังสือนพมาศ เมื่อครั้งกรุงสุโขทัยนั้นมีข้อความว่า “ในเดือนหกพระราชพิธีไพศาข จรดพระนังคัล พราหมณ์ประชุมกันผูกพรตเชิญเทวรูปเข้าโรงพิธี ณ ท้องทุ่งละหานหลวงหน้าพระตำหนักห้องเขา กำหนดฤกษ์แรกนาว่าใช้วันอาทิตย์ พระเจ้าแผ่นดินทรงเครื่องต้นอย่างเทศ ทรงม้าพระที่นั่งพยุหยาตราเป็นกระบวนเพชรพวง พระอัครชายาและพระราชวงศานุวงศ์ พระสนมกำนัลเลือกแต่ที่ต้องพระราชหฤทัย ขึ้นรถประเทียบตามเสด็จไปในกระบวนหลังประทับที่พระตำหนักห้าง จึงโปรดให้ออกญาพลเทพธิบดีแต่งตัวอย่างลูกหลวง มีกระบวนแห่ประดับด้วยกรรชิงบังสูรย์ พราหมณ์เป่าสังข์โปรยข้าวตอกนำหน้าครั้นเมื่อถึงมณฑลท้องละหาน ก็นำพระโคอุสุภราชมาเทียมไถทอง พระครูพิธีมอบยามไถและประตักทอง ให้ออกญาพลเทพเป็นผู้ไถที่หนึ่ง พระศรีมโหสถซึ่งเป็นบิดานางนพมาศเองแต่งตัวเครื่องขาวอย่างพราหมณ์ ถือไถเงินเทียมด้วยพระโคเศวตพระพรพระพรเดินไถเป็นที่สอง พระวัฒนเศรษฐีแต่งกายอย่างคหบดีถือไถหุ้มด้วยผ้ารัตกัมพลแดง เทียมด้วยโคกระวินทั้งไม้ประตัก พระโหราลั่นฆ้องชัยประโคมดุริยางค์ดนตรี ออกเดินไถเวียนซ้ายไปขวา ชีพ่อพราหมณ์ปรายข้าวตอกดอกไม้ บันลือเสียงสังข์ไม้บัณเฑาะว์นำหน้าไถ ขุนบริบูรณ์ธัญญานายนักงานนาหลวงแต่งตัวนุ่งเพลาะคาดรัดประคดสวมหมวกสาน ถือกระเช้าโปรยปรายหว่านพืชธัญญาหารตามทางไถจรดพระนังคัลถ้วนสามรอบ ในขณะนั้นมีการมหรสพ ระเบงระบำโมงครุ่มหกคะเมนไต่ลวด ลอดบ่วงรำแพนแทงวิสัยไก่ป่าช้าหงส์รายรอบปริมณฑลที่แรกนาขวัญ แล้วจึงปล่อยพระโคทั้งสามอย่างออกกินเลี้ยงเสี่ยงทายของห้าสิ่ง แล้วโหรพราหมณ์ก็ทำนายตามตำรับไตรเพท ในขณะนั้นพระอัครชายาก็ดำรัสสั่งพระสนมให้เชิญเครื่องพระสุพรรณภาชน์มธุปายาสขึ้นถวายพระเจ้าอยู่หัวเสวย ราชมัลก็ยกมธุปายาสเลี้ยงลูกขุนทั้งปวง” เป็นเสร็จการพระราชพิธีซึ่งมีมาในเรื่องนางนพมาศ
ที่มีมาในกฎมนเทียรบาลว่า “เดือนไพศาขจรดพระนังคัล เจ้าพระยาจันทกุมารถวายบังคมณ หอพระ ทรงพระกรุณายื่นพระขรรค์ พระพลเทพถวายบังคมสั่งอาญาสิทธิ์ทรงพระกรุณาลดพระบรมเดชมิได้ไขน่าละออง มิได้ตรัสคดีถ้อยความ มิได้เบิกลูกขุน มิได้เสด็จออก ส่วนเจ้าพระยาจันทกุมารมีเกยช้างหน้าพุทธาวาสขัดแห่ขึ้นช้าง แต่นั้นให้สมโภชสามวัน ลูกขุนหัวหมื่นพันนา นายร้อยนาหมื่นกรมการในกรมนาเฝ้า และขุนหมื่นชาวศาลทั้งปวงเฝ้าตามกระบวน” ได้ความในกฎมนเทียรบาลแต่เท่านี้ เป็นข้อความรวมๆ ลงไปกว่าหนังสือนพมาศหลายเท่า การที่ไปแรกนาไปทำอย่างไรก็ไม่ได้กล่าวถึง วิธีที่จัดการพระราชพิธีนี้เห็นจะไม่เหมือนกันกับที่สุโขทัยเลย ดูเป็นต่างครูกันทีเดียว ข้างสุโขทัยดูการพระราชพิธีนี้เป็นการคล้ายออกสนามใหญ่ เจ้าแผ่นดินยังถืออำนาจเต็ม ออกญาพลเทพเป็นแต่ผู้แทนที่จะละลงมือไถนา ส่วนข้างกรุงเก่ายกเอาเจ้าพระยาจันทกุมารเป็นผู้แทนพระองค์มอบพระแสงอาญาสิทธิ์ให้ ส่วนพระพลเทพคงเป็นตำแหน่งเสนาบดีผู้ออกหมายตามกระทรวงเจ้าแผ่นดินนั้นนั้นเป็นเหมือนหนึ่งออกจากอำนาจจำศีลเงียบเสียสามวัน การที่ทำเช่นนี้ก็เห็นจะประสงค์ว่าเป็นผู้ได้รับสมมติสามวัน เหมือนอย่างเป็นพระเจ้าแผ่นดินไปแรกนาเองดูขลังมากขึ้น ไม่เป็นแต่การแทนกันเล่นๆ ต่างว่าแต่วิธีอันนี้เห็นจะได้ใช้มาจนตลอดปลายๆ กรุงเก่า ด้วยได้เห็นในจดหมายเหตุขุนหลวงหาวัดความนั้นก็ลงรอยเดียวกันกับกฎมนเทียรบาล เป็นแต่ตัดความไปว่าถึงเวลาไปทำพิธีชัดเจนขึ้น คือว่าพระอินทกุมารฉลองพระองค์ ส่วนพระมเหลีนั้นนางเทพีฉลองพระองค์ ขี่เรือคฤหสองตอนไปถึงทุ่งทุ่งแก้วขึ้นจากเรือ พระอินทกุมารสวมมงกุฎอย่างเลิศขี่เสลี่ยงเงิน นางเทพพีสวมมงอย่างเลิศไม่มียอดขี่เสลี่ยงเงินแห่มีสัปทนบังสูรย์เครื่องยศตาม บรรดาคนตามนั้นเรียกว่ามหาดเล็ก มีขุนนางเคียงถือหวายห้ามสูงต่ำครั้นเมื่อถึงโรงพิธีแล้ว พระอินทกุมารจับคันไถเทียมโคอุสุภราชโคกระวิน พระยาพลเทพถือเชือกจูงโค นางเทพีหาบกระเช้าข้าวหว่านครั้นไถได้สามรอบแล้วจึงปลดโคออกกินข้าวสามอย่าง ถั่วสามอย่าง หญ้าสามอย่าง ถ้ากินสิ่งใดก็มีคำทำนายต่างๆ ซึ่งชื่อผู้แรกนาแปลกกันไปกับในกฎมนเทียรบาล ข้างหนึ่งเป็นจันทกุมาร ข้างหนึ่งเป็นอินทกุมาร ข้างหนึ่งเรียกเจ้าพระยา ข้างหนึ่งเรียกพระ การที่ชื่อแปลกกันนั้นได้พบในจดหมายขุนหลางหาวัดนี้เอง เมื่อว่าถึงพระราชพิธีเผาข้าวว่าพระจันทกุมารเป็นผู้ได้รับสมบัติไปทำพิธี เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า มีทั้งพระอินทกุมาร พระจันทกุมาร ๒ คน ที่ในการพระราชพิธีจรดพระนังคัล ข้างหนึ่งว่าพระอินทกุมาร ข้างหนึ่งว่าพระจันทกุมาร ก็เห็นจะเป็นไขว้ชื่อกันไปเท่านั้น หรือบางทีก็จะผลัดเป็นคนนั้นแรกนาบ้าง คนนี้แรกนาบ้าง แต่ยศที่เรียกว่าพระยาหรือพระอย่างจะเป็นแน่นั้น ตามที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวท่านทรงพระดำริเห็นว่าจะเป็นเจ้าราชินิกุล คำที่เรียกว่าพระๆ นี้ดูใช้ทั่วไปในชื่อเจ้านายอย่างเช่นชั้นแรกๆ พระเทียรราชา พระราเมศวร พระมหินทราธิราชอีกชั้นในเวลาเดียวกันนั้นเช่นพระศรีเสาวราช พระเหล่านี้เป็นลูกหลวงเอกทั้งนั้นในชั้นหลังๆ มีเจ้าเติมหน้า ก็ดูเป็นเหมือนกับจะเรียกนำติดปากไป พอให้รู้ว่าเป็นพระราชตระกูล มิใช่พระขุนนาง เช่นเจ้าพระพิชัยสุรินทร การซึ่งเห็นว่าพระอินทกุมารหรือจันทกุมารจะเป็นราชินีกุลนั้น ด้วยได้รับยศใหญ่กว่าเจ้าพระยาพละยาพลเทพแต่เมื่อค้นดูในตำแหน่งนาพลเรือน ที่มีชื่อเจ้าราชินีกุลหลายคน ก็ไม่มีชื่อสองชื่อนี้มีแต่ชื่อพระอินทรมนตรี มีสร้อยว่าศรีจันทกุมารอยู่คนหนึ่ง ถ้าจะติดว่าตำแหน่งพระอินทกุมารพระจันทกุมารนี้ จะเป็นตำแหน่งพระอินทรมนตรี ศรีจันทกุมารคน ๑ พระมงคลรัตนราชมนตรี ถ้าจะเติมศรีอินทรกุมารเข้าอีกคน ๑ ก็จะได้เข้าคู่กันได้ชอบกลอยู่ เพราะกรมสรรพากรนี้ได้บังคับบัญชาการตลอดทั้งปวงดูแต่ก่อนเป็นตำแหน่งใหญ่ การแรกนานี้เกี่ยวข้องอยู่กับกรมสรรพากรบ้างเช่นหมายรับสั่งทุกวันนี้ก็ยังใช้ว่า อนึ่ง ให้คลังมหาสมบัติสรรพากรในหมายบอกกำนันตลาดบกตลาดเรือกรุงเทพฯ เป็นต้น ที่อ้างนี้ใช่จะว่าความตามรูปหมายที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ เพราะรูปหมายทุกวันนี้เป็นแต่ให้เป็นผู้ประกาศให้ลูกค้ารู้ที่จะว่าเดี๋ยวนี้ประสงค์จะให้รู้ว่าการเกี่ยวข้องกับกรมสรรพากรบ้าง และกรมสรรพากรแต่ก่อนเป็นกรมใหญ่ บางทีตำแหน่งจันทกุมารอินทกุมารนี้ถึงเป็นราชินิกุลจะได้บังคับบัญชากรมสรรพากรบ้างดอกกระมัง หลวงอินทรมนตรีจึงมีสร้อยศรีจันทกุมารติดท้ายอยู่ แต่ตำแหน่งมงคลรัตน์นั้นไม่มีอินทกุมารหายไป ธรรมเนียมสร้อยซื้อของเก่ากรมใดนักจะใช้สร้อยชื่อเรื่องเดียวกันไปทั้งชุด เช่น กรมช้างใช้สร้อยชื่อสุริยชาติเป็นต้น ตลอดทั้งจางวางและเจ้ากรมถ้าสร้อยชื่อจันทกุมารอินทกุมารเป็นของกรมสรรพากร ก็คงจะเป็นกรมสรรพากรแรกนา แต่เมื่อคิดอีกอย่างหนึ่งหรือจะเป็นผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งควจะแรกนาแล้ว โปรดให้ไปแลกนาเหมือนอย่างชั้นหลังๆ ไม่ว่าตำแหน่งใดถ้าผู้ใดไปแรกนาก็เรียกผู้นั้นเป็นพระอินทกุมารหรือพระจันทรกุมารจะได้ดอกกระมัง แต่ในชั้นหลังครั้งขุนหลวงหาวัดนี้ เรื่องให้อำนาจจนถึงยื่นพระขรรค์เห็นจะเลิกเสียแล้ว จึงไม่ได้กล่าวถึง ดูก็จะได้รับยศคล้ายๆ ขุนนางแรกนาอยู่ทุกวันนี้
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นคำพูดกันมาชุมๆ คู่กันกับพระยาพลเทพยืนชิงช้าตีนตกต้องริบตะเภาเข้ามาวันนั้นต้องเป็นของพระยาพลเทพในการแรกนานี้ตะเภาเข้ามาก็เป็นของผู้แรกนาเหมือนกัน แต่มีวิเศษออกไปที่เรื่องว่าได้กำตากด้วย เรื่องกำตากนี้มีคำพูดกันจนถึงเป็นคำพูดเล่น ถ้าผู้ใดจะแย่งเอาสิ่งของผู้ใดเป็นการหยอกๆ กัน ก็เรียกว่ากำตากละ เรื่องกำตากนี้ได้ค้นพบในจดหมายขุนหลวงหาวัด ว่าระหว่างพิธีสามวันนั้น
ถ้าเป็นพ่อค้าเรือและเกวียนและพ่อค้าสำเภาจักมาแต่ทิศใดๆ ทั้ง ๘ ทิศ ถ้าถึงในระหว่างพิธีนั้น พระอินทกุมารได้เป็นสิทธิ์ อนึ่ง ทนายบ่าวไพร่ของพระอินทกุมาร ในสามวันนั้นจะไปเก็บขนอนตลาดและเรือจ้างในทิศใดๆ ก็ได้เป็นสิทธิ เรียกว่าทนายกำตาก มีข้อความของเก่าจดไว้ดังนี้ พิเคราะห์ดูเห็นว่า ข้อที่ว่ากวียนและเรือสำเภาถึงในวันนั้นเป็นสิทธิ ดูเหมือนหนึ่งบรรดาสินค้าซึ่งมาในเกวียนและสำเภานั้น จะต้องรีบเป็นของพระอินทกุมารทั้งสิ้น แต่ที่จริงนั้นมุ่งหมายจะว่าด้วยค่าปากเรือและค่าเกวียนซึ่งเป็นภาษีขาเข้าอย่างเก่า การที่อนุญาตให้นั้นอนุญาตค่าปากเรือและค่าเกวียนในส่วนที่มาถึงวันนั้นให้เป็นรางวัล แต่ก็คงจะไม่เป็นประโยชน์ที่ได้เสมอทุกปี เพราะการค้าขายแต่ก่อนมีน้อย ที่จะหาสำเภาลำใดและเกวียนหมู่ใดให้มาถึงเฉพาะในวันพระราชพิธีนั้นได้เสมอทุกปีคงหาไม่ได้ คงจะมีผู้ได้จริงๆ สักครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง เพียงห้าชั่งหกชั่งก็จะนับว่าเป็นเศรษฐีปลื้มกัน เต็มที จึงได้นิยมโจษกันไม่สิ้นสุดจนถึงทุกวันนี้ ส่วนประโยชน์ที่ได้จริงๆ เป็นของเสมออยู่นั้น คงจะเป็นค่าตลาดค่าเรือจ้าง ส่วนวันนั้นเป็นยกพระราชทานให้ผู้แรกนาเก็บ ค่าตลาดที่กล่าวนี้คือที่เก็บอยู่อย่างเก่า เพิ่งมาเลิกเสียในรัชกาลที่ ๔ นายอากรตลาดนั้น มักจะเป็นผู้หญิงที่เป็นคนค้าขายทำมาหากินรับผูกจากพระคลังไปเก็บ เช่นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีท้าวเทพากรคนหนึ่งเป็นผู้ไปเก็บ ท้าวเทพากรนั้นก็นับว่าเป็นเศรษฐีเป็นที่นับถือชื่อเสียงเลื่องลือเหมือนอย่างเจ้าสัวคนหนึ่ง ถ้าใครอยากจะสำแดงตัวว่าเป็นผู้มีเชื้อแถวและทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ เมื่อไต่ถามว่าเป็นลูกใครหลานใครถ้าเกี่ยวข้องเป็นญาติลูกหลานของท้าวเทพากรถึงห่างเท่าใดก็ต้องอ้างว่าเป็นลูกหลานของท้าวเทพากร ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาดังนี้ แล้วผู้ที่ฟังนั้นก็เข้าใจซึมซาบว่า เป็นคนมั่งคั่งบริบูรณ์พิกัดเก็บอากรตลาดนั้น เก็บตามแผงลอยร้านหนึ่งเก็บวันละเฟื้อง แต่ผู้ซึ่งเก็บอากรนั้นไม่ได้จะเก็บตามพิกัด ด้วยเวลานั้นใช้ซื้อขายกับดอกเบี้ย มักจะตักตวงเอาเหลือเกินกว่าพิกัด ครั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปตลาดท้ายสนม ดำรัสถามพวกชาวร้านด้วยเรื่องเสียอากรตลาด ทรงเห็นว่าราษฎรที่มีของสดเล็กน้อยมาขายต้องเสียอากร นายตลาดเก็บแรงเหลือเกิน จึงได้โปรดให้เลิกอากรตลาดเสีย เปลี่ยนเป็นภาษีเรือโรงร้านตึกแพ อากรตลาดซึ่งเก็บอย่างแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งแกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นอากรในแบบซึ่งมีมาแต่ครั้งเก่า การจึงว่าทนายของผู้แรกนาไปเที่ยวเก็บอากรขนอนตลาดได้เป็นสิทธิทุกแห่งนั้น ก็คือยกอากรที่เก็บร้านละเฟื้องในส่วนวันนั้นพระราชทานให้แก่ผู้แรกนาไปเก็บเอาเอง จึงได้มีหมายให้คลังมหาสมบัติสรรพากรหมายบอก กำนันตลาดบกตลาดเรือ ให้ประกาศป้าวร้องให้ลูกค้ารู้จงทั่วกัน คือให้รู้ว่ากำหนดวันนั้นให้เสียอากรแก่ผู้แรกนา ท่ารือสำเภาเข้ามาก็ให้เสียค่าปากเรือค่าจังกอบแก่ผู้แรกนาเมื่อได้พระราชทานอนุญาตเช่นนี้ ผู้แรกนาก็แต่งทนายออกไปเที่ยวเก็บอากรผู้แรกนาเองก็เป็นเวลานานๆ จะได้ครั้งหนึ่ง มุ่งหมายอยากจะได้มาก ทนายซึ่งไปนั้นเล่าก็อยากจะหาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นลำไพ่บ้าง เก็บอากรจึงรุนแรงล้นเหลือเกินพิกัดไปมาก นุ่งยิ่งกว่าที่นายตลาดนุ่งอยู่แต่ก่อน จนลูกค้าชาวตลาดทั้งปวงพากันกลัวเกรง เมื่อจะเอาให้มากผู้ที่จะให้ก็ไม่ใคร่จะยอมให้ข้างผู้ที่จะเอาก็ถืออำนาจที่ได้อนุญาตไป โฉบฉวยเอาตามแต่ที่จะได้ จนกลับเป็นวิ่งราวกลายๆ คำที่ว่าทำตากจึงเป็นที่กลัวกัน จนถึงเอามาพูดเป็นยูดี ในเวลาที่แย่งของอันใดจากกันว่า กำตาก แต่ส่วนคำกำตากเองนั้นดูเป็นภาษาไทยแท้แต่แปลไม่ออกว่าอะไร มีท่านผู้หนึ่งได้แปลโดยการเดา ลองคิดดูเห็นว่าคำกำ นั้นแปลว่า ถือ ตาก แปลว่าของที่ตั้งเปิดเผยไว้ ดังคำที่เรียกว่าเอาของผึ่งตากเป็นต้น คือจะถือเอาใจความว่า ร้านตลาดที่เวลาอยู่เปิดอยู่เอาพัสดุสินค้าออกตั้งวางเพื่อจะซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน โบราณาจารย์จะเรียกว่าตากดอกกระมัง คำว่ากำนั้น ก็คือทนายของพระยาไปเที่ยวฉกฉวยสิ่งของตามร้านตลาด ก็ต้องเอามือกำมาจึงได้ของ ก็คำสองคำนี้เป็นสมาส จึงเป็นกำตากความเห็นได้กล่าวดังนี้ ข้าพเจ้ายังไม่เห็นด้วย ได้คิดเดาแปลองดูเองบ้างสงสัยว่ากำตากนั้นจะเรียกลากยาวไป บางทีจะเป็นตักดอกกระมัง ด้วยแต่ก่อนมาการซื้อขายกันในตลาดใช้เบี้ยหอย ตลาดแผงลอยเช่นนี้ มักจะมีกระจาดหรือกระบุงไว้คอยรับเบี้ยจากผู้มาซื้อ และทอนเงินทอนเบี้ยกัน ในที่ๆ ไว้เบี้ยเช่นนั้น มักมีถ้วยน้ำพริกปากไปล่ หรือจากทองเหลืองคว่ำครอบอยู่ที่กลางกองเบี้ย สำหรับใช้ตักตวง เมื่อเวลาพระยาผู้แลกนาได้รับอนุญาตให้เก็บเงินค่าอากรตลาดในวันแรกนา ก็ไปเก็บอากรนั้นด้วยเบี้ยจากกระบุงหรือกระจาคที่ไว้เบี้ยนั้น แต่การที่พระราชทานอนุญาตเช่นนั้น เมื่อแรกอนุญาตก็คงจะยกเงินอากรให้แก่นายตลาดชาวตลาดต้องเสียแก่พระยาผู้แรกนาฝ่ายเดียว แต่ครั้นภายหลังมานายอากรตลาดก็คงจะผลัดเปลี่ยนกันไป เจ้าพนักงานก็คงจะผลัดเปลี่ยนกันไป เมื่อการจืดๆ ลงมาภายหลัง เงินอากรก็จะไม่ได้ยกให้นายตลาดหรือนายตลาดจะยอมเสียว่าเล็กน้อย ไม่ต้องลดเงินหลวงลงเพราะมีกำไรอยู่มากแล้ว เจ้าพนักงานก็ไม่ต้องเป็นธุระอันใดต่อไปในเรื่องที่จะยกเงินอากรให้ในวันนั้น จนเลยลืมไม่มีใครรู้ว่าเคยลดข้างส่วนนายอากรที่จะมาเก็บอากรตลาดใหม่ต่อไป ก็ไม่รู้สึกว่าวันนั้นเป็นวันจะต้องยกเว้นอันใด หรือรู้สึกแต่ถือว่าเงินหลวงต้องเสียเต็มไม่ได้ยกเว้นให้ ก็คงเก็บตลาดอยู่ในเวลาที่แรกนานั้นมิได้ยกเว้น แต่ส่วนทนายของพระยาผู้ซึ่งแรกนา ที่เคยได้ประโยชน์หรือเป็นธรรมเนียมได้ประโยชน์มาก็ออกเที่ยวเก็บตลาด ฝ่ายชาวตลาดจะเถียงว่าได้เสียอากรแล้วไม่ยอมให้พวกทนายนั้นก็คงไม่ฟัง ล้วงมือลงไปกำหรือเอาถ้วยเอาจอกตักเบี้ยในกระบุงเอาไปพอแก่ที่จะฉกลัวงเอาได้ ข้างฝ่ายชาวตลาดร้องฟ้องว่ากล่าวอันใดก็ป่วยการ ได้ไม่เท่าเสียเพราะเบี้ยที่นายพระยามาเอาไปนั้นก็เพียงกำหนึ่งตักหนึ่ง จะเสียค่าธรรมเนียมยิ่งกว่านั้นหลายเท่า จึงตกลงใจว่าเบี้ยกำหนึ่งตักหนึ่งช่างเถิด ครั้นต่อมาภายหลังผู้ที่ไม่ทราบต้นเหตุ เห็นถึงวันแรกนาแล้วพวกทนายของพระยามาเที่ยวกำเที่ยวตักเบี้ยตามร้าน ก็เรียกว่าพวกกำพวกตักมา ต้องเสียเบี้ยกำเบี้ยตักลงเป็นธรรมเนียมว่า วันนั้นแล้วเป็นต้องเสียอากรอีกชั้นหนึ่ง ร้านละกำละตักหนึ่ง ครั้นคำที่เรียกว่าพวกทนายกำทนายตัก เรียกชินๆ ปากเข้าก็ขี้เกียจซ้ำทนายอีกครั้งหนึ่ง คงเรียกแต่ทนายกำตักก็เมื่อนานมาคำที่พูดอยู่ชินๆ ปากของผู้ที่เข้าใจแล้ว หมายว่าไม่เป็นอัศจรรยอันใด ไม่ได้แปลให้กันฟังต่อๆ ไป ไม่มีผู้รู้มีนนิ่ง (Meaning) คือความหมายเดิมว่าการผู้ที่พูดตามๆ มาก็พูดไปอย่างนั้น ไม่เข้าใจคำแปลว่ากระไรเลย เข้าใจว่าทนายกำตักนั้นเป็นภาษาสำหรับพูดแปลว่าแย่งเบี้ยในร้าน ก็อย่างเดียวกันกับคำที่พูดกันอยู่ทุกวันนี้ว่าโคมลอยก็ดี ว่านุ่งก็ดี ก็มีมีนนิ่งอาจที่จะชี้แจงชักเรื่องได้ยืดยาว ถ้าไม่ได้จดหมายชี้แจงไว้นานไปภายหน้าพูดกันอยู่ยังไม่จืด ก็คงจะต้องข้าใจว่าโคมลอยนั้นแปลว่าเหลว นุ่งแปลว่าโกงหรือฉ้อ คำพูดเช่นนี้เป็นคำล้อหน่อยๆ หนึ่ง ไม่ได้แปลที่มาแห่งคำเรียกนั้นไว้ ก็เลยไม่มีผู้ใดทราบได้ อนึ่งคำสั้นกับคำยาวมักจะเรียกกลายๆ กันไปได้ เช่นคำว่าว่าไก่ ท้าวสุภัติการ (นาก) ที่ตายในเร็วๆ นี้ เรียกว่าก่ายเสมอ คำอื่นๆ ที่ผู้อื่นๆ เรียกเช่นนี้มีมากหลายคำหลายคนก็คำที่เรียกว่ากำตักนี้ จะเรียกยาวออกไปว่ากำตากได้บ้างดอกกระมัง เมื่อผู้ที่พูดคำลากยาวเช่นนี้ ได้เขียนหนังสืออันใดลงไว้ว่ากำตาก กำตาก ถึงแม้ว่าผู้ที่ยังเรียกกำตักอยู่ตามเดิมบ้าง เรียกกำตากตามหนังสือบ้างจะเกิดถุ้งเถียงกันขึ้นก็คงจะต้องอ้างเอาหนังสือเป็นหลักฐานว่าเป็นถูก เมื่อไม่มีผู้ใดรู้ความมุ่งหมายของคำนั้น จะชี้แจงตัดสินว่าอย่างไรถูกอย่างไรผิด ก็คงต้องตกลงตามหนังสือจึงได้ปรากฏมาว่า ทนายกำตาก หรือเก็บกำตาก เสียค่ากำตาก ได้กำตาก ความที่ว่ามาทั้งนี้เป็นเรื่องเดาทั้งสิ้น ผิดถูกอย่างไรขอโทษที แต่เรื่องกำตากนี้ จะได้มียกอากรหลวงพระราชทานมาเพียงใดก็ไม่ปรากฏ เป็นแต่ความนิยมของคนที่พูดกันอยู่จนถึงทุกวันนี้แต่ที่กรุงเทพฯ นี้ ถึงแต่ก่อนมาก็ไม่ปรากฏว่าได้ยกอากรพระราชทานค่าปากเรือค่าจังกอบก็ไม่ได้ยินว่าพระราชทาน ได้ยินแต่เล่ากันว่าพวกทนายของพระยาเที่ยวกับเที่ยวชิงเบี้ยตามตลาด เมื่อไม่ได้เบี้ยสิ่งของอันใดก็ใช้ได้ เรียกว่าไปเก็บกำตาก เรือสำเภาลำใดมาถึงก็ลงไปเที่ยวเก็บฉกๆ ฉวยๆเช่นนี้ เป็นเก็บกำตากเหมือนกัน อาการที่ทนายของพระยาไปทำนั้น ตามที่เข้าใจกันว่าในวันนั้น พระยาได้เป็นเจ้าแผ่นดินแทนวันหนึ่ง ถึงบ่าวไพร่จะไปเที่ยววิ่งราวแย่งชิงกลางตลาดยี่สานก็ไม่มีความผิด เป็นโอกาสที่จะนุ่งได้ วันหนึ่งก็มุ่งให้เต็มมือ ฝ่ายผู้ที่ถูกแย่งชิงนั้นก็เข้าใจเสียว่าฟ้องร้องไม่ได้ ด้วยเป็นเหมือนวันปล่อยผู้ร้ายวันหนึ่ง ไม่มีใครมาฟ้องร้องว่ากล่าว เป็นแต่บ่นกันกันพึมๆ พำๆ ไปต่างๆ จนเป็นเรื่องที่สำหรับเอามาพูดเล่น ใครจะแย่งของจากผู้ใดก็เรียกว่ากำตากละ แต่ที่แท้ธรรมเนียมกำตากนี้ ก็ได้เลิกเสียช้านานหลายสิบปีมาแล้ว แต่การที่คนมากๆ ด้วยกันไม่ชอบความประพฤติเช่นนั้นก็ยังเล่ากันต่อมา จนถึงชั้นเราได้รู้เรื่องดังนี้ ส่วนผู้ที่แรกนาในทุกวันนี้ แต่เดิมมาได้พระราชทานเบี้ยง ๑๐ ตำลึง ครั้นเมื่อตกภาษีโรงร้านตึกแพขึ้น โปรดให้หักเงินภาษีเป็นค่าเลี้ยงเกาเหลาในการแรกนาอีกชั่งหนึ่ง ครั้นถึงพระยาอภัยรณฤทธิ์ แรกนาออดแอดไปว่ากำลังวังชาไม่มีต่างๆ จึงได้ตกลงเป็นให้เงินเสียคราวละ ๕ ชั่งสืบมา
การแรกนาที่ในกรุงเทพฯ นี้ มีเสมอมาแต่ปฐมรัชกาลไม่ได้ยกเว้นแต่ถือว่าเป็นตำแหน่งเจ้าพระยาพลเทพคู่กันกับยืนชิงช้า เจ้าพระยาพลเทพแรกนายืนชิงช้าผู้เดียวไม่ใด้ผลัดเปลี่ยน ครั้นตกมาภายหลังเมื่อเจ้าพระยาพระยาพลเทพป่วย ก็โปรดให้พระยาประชาชีพแทนบ้าง และเมื่อเจ้าพระยานิกรบดินทร์ยืนชิงช้าก็โปรดให้แรกนาด้วยในครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งกล้าเจ้าอยู่หัวเกือบจะตกลง เป็นธรรมเนียมว่าผู้ใดยืนชิงช้าผู้นั้นเป็นผู้แรกนาด้วย ครั้นมาถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยาพลเทพ (หลง) แรกนาเผอิญถูกคราวฝนแล้ง ราษฎรไม่เป็นที่ชอบใจ ติเตียนหยาบคายต่างๆ ไปจึงโปรดให้เจ้าพระยาภูธราภัยแรกนา ถูกคราวดีก็เป็นการติดตัวเจ้าพระยาภูธราภัย ได้แรกนามาจนตลอดสิ้นชีวิต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกย่องว่าเป็นผู้แรกนาดี และรับสั่งว่า ต่อไปภายหน้าถึงเจ้าพระยาภูธราภัยจะป่วยใช้แรกนาไม่ได้ ก็จะโปรดให้ในวงศ์ญาติพวกนั้นเป็นผู้แรกนา เมื่อเจ้าพระยาภูธราภัยถึงอสัญกรรมแล้ว จึงได้ให้พระยาอภัยรณฤทธิ์เป็นผู้แรกนาตามพระกระแสเติมมาจนถึงปีนี้ พระยาอภัยรณฤทธิ์ป่วยแรกนาไม่ใด้ จึงได้ให้พระยาภาสกรวงศ์ที่เกษตราธิบดี ผู้เจ้าของตำแหน่งเป็นผู้แรกนา
การแรกนาที่กรุงเทพฯ นี้ ไม่ได้เป็นการหน้าพระที่นั่ง เว้นไว้แต่มีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรเมื่อใด จึงได้ทอดพระเนตรเล่ากันว่าเมื่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ขณะเมื่อทรงปฏิสังข์วัดอรุณ ในปีมะแม เบญจศก ศักราช ๑๑๘๕ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการทุกวันครั้นเมื่อถึงพระราชจรดพระนังคัล จะใคร่ทอดพระเนตร จึงโปรดให้ยกการพระราชพิธีมาตั้งที่ปรกหลังวัดอรุณฯ ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นทุ่งนา ไม่ได้เผาศพฝังศพในที่นั้น ครั้นมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรแรกนาที่ทุ่งส้มป่อยครั้งหนึ่ง ภายหลังโปรดให้มีการแรกนาที่กรุงเก่าและที่เพชรบุรี ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพระยาเพชรบุรี (บัว) แรกนาที่เขาเทพนมขวดครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง ในแผ่นดินปัจจุบันนี้ ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรแรกนาที่ทุ่งส้มป่อยครั้งหนึ่งการพระราชพิธีจรดพระนังคัลแต่ก่อนมีแต่พิธีพราหมณ์ ไม่มีพิธีสงฆ์ ครั้นมาถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงเพิ่มพิธีสงฆ์ในพระราชพิธีต่างๆ จึงได้เพิ่มในการจรดพระนังคัลนี้ด้วย แต่ยกเป็นพิธีหนึ่งต่างหาก เรียกว่าพืชมงคล โปรดให้ปลูกพลับพลาขึ้นที่หน้าท้องสนามหลวงและสร้างหอพระเป็นที่ไว้พระคันธารราษฎร์ สำหรับการพระราชพิธีพืชมงคลอย่างหนึ่ง พรุณศาสตร์อย่างหนึ่ง แต่ก่อนมาพระยาผู้จะแรกนาก็มิได้ฟังสวดนแต่กราบถวายบังคมลาแล้วก็ไปเข้าพิธีเหมือนตรียัมพวาย กระเช้าข้าวโปรยก็ใช้เจ้าพนักงานกรมนาหาบ ไม่ได้มีนางเทพีเหมือนทุกวันนี้ เมื่อโปรดให้มีพระราชพิธีมงคลขึ้น จึงได้ให้มีนางเทพีสี่คน จัดเจ้าจอมเถ้าแก่ที่มีทุนรอนยานพาหนะ พอจะแต่งตัวและมีเครื่องใช้สอยติดตามให้ไปหาบกระเช้าข้าวโปรยเมื่อสวดมนต์พระราชพิธีพืชมงคล ก็ให้ฟังสวดพร้อมด้วยพระยาผู้จะแรกนาและให้มีกรมราชบัณฑิตเชิญพระเต้าเทวบิฐ ซึ่งเป็นพระเต้าเกิดขึ้นใหม่ในรัชกาลนั้น ประพรมที่แผ่นดินนำหน้าพระยาที่แรกนา ให้เป็นสวัสดิมงคลขึ้นอีกชั้นหนึ่ง
การพระราชพิธีนี้ ในเวลาบ่ายวันที่จะสวดมนต์มีกระบวนแห่พระพุทธรูปออกไปจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กระบวนแห่นี้เกิดขึ้นก็ด้วยเรื่องแห่เทวรูปออกไปที่โรงพระราชพิธีทุ่งส้มป้อย เป็นธรรมเนียมมาเสียแต่เดิมแล้ว พระพุทธรูปจะไม่มีกระบวนแห่ ก็ดูจะเลวไปกว่าเทวรูป จึงใด้มีกระบวนแห่ กำหนดธงมังกร ๑๐๐ ธงตะขาบ ๑๐๐ กลองชนะ ๒๐ จ่าปี่จ่ากลอง แตรงอน ๑๐ แตรฝรั่ง ๘ สังข์ ๒ เครื่องสูงสำรับหนึ่ง คู่แห่ง ๑๐๐พิณพาทย์ ๒ สำรับ กลองแขก ๒ สำรับ ราชยานกง ๑ เสลี่ยงโถง ๑ คนหามพร้อมมีราชบัณฑิตประคองและภูษามาลาเชิญพระกลด พระพุทธรูปซึ่งตั้งในการพิธีแห่ออกไปจากพระราชวัง คือพระคันธารราษฎร์นั่งก้าไหล่ทององค์ใหญ่ซึ่งอยู่ที่หอในวัดพระศรีรัตนศาสดารามองค์ ๑ พระคันธารราษฎร์ยืนก้าไหล่ทององค์ ๑พระคันธารราษฎร์อย่างพระชนมพรรษาเงินองค์ ๑ เกิดขึ้นในแผ่นดินปัจจุบันนี้ พระทรมานเข้าอยู่ในครอบแก้วสร้างขึ้นรัชกาลที่ ๓ องค์ ๑ พระชัยประจำแผ่นดินปัจจุบันองค์ ๑ พระชัยเนาวโลหะน้อยองค์ ๑ พระพุทธรูปทั้งนี้เชิญไปจากหอพระเจ้าในพระบรมราชวัง เทวรูป ๖ องค์นั่งแท่นเดียวกัน ๑ รูป พระโค ๑ แล้วเชิญพระพุทธรูปพระคันธารราษฎร์จีนก้าไหล่ทอง ซึ่งไว้ที่หอพระท้องสนามหลวงมาอีกองค์ ๑ พระพุทธรูปทั้งนี้เชิญขึ้นตั้งบนโต๊ะทองใหญ่ ในพระแท่นมณฑลองค์น้อย มีเชิงเทียนราย ๔ เชิง พานทองคำดอกไม้ ๒ พาน กระถางธูปหยกกระถาง ๑ ตามรอบม้าทองที่ตั้งพระ บนพระแท่นมณฑลและได้ม้าทอง ไว้พรรณเครื่องเพาะปลูกต่างๆ คือข้าวเหนียว ข้าวจ้าวต่างๆ ตามแต่จะหาได้ เมล็ดน้ำเต้า แมงลัก แตงต่างๆ ถั่วต่างๆ ข้าวโพดข้าวฟางลูกเดือย งา ของทั้งนี้กำหนดสิ่งละ ๒ ทะนาน เผือก มันต่างๆ สิ่งละ ๑๐ เหง้า ที่ควรกรอกลงขวดอีก ก็กรอกลงขวดตั้งเรียงรายไว้รอบ มีเครื่องนมัสการทองทิศสำรับ ๑ ที่พลับพลาโถงมุมกำแพงแก้ว ซึ่งเป็นที่ทอดพระเนตรนา ตั้งโต๊ะจีนมีเทวดา ๖ องค์ และรูปพระโคเหมือนที่ตั้งในพระแท่นมณฑล แต่เป็นขนาดใหญ่ขึ้น รอบโรงพระราชพิธีปักราชวัติกระดาษวงสายสิญจน์
เวลาค่ำเสด็จออกทรงถวายผ้าสบงจีวรกราบพระ พระสงฆ์ที่สวดมนต์ ๑๑ รูป พระสงฆ์ที่สวดนั้นใช้เจ้าพระราชาคณะ คือ พระราชประสงค์เดิมนั้นจะใช้หม่อมเจ้าพระสังวรวรประสาธน์ ซึ่งถือตาลิปัตรงาเป็นราชาคณะฝ่ายสมถะ ต่อมาถึงจึงได้ติดเป็นตำแหน่งเจ้าพระ พระที่สวดมนต์อีก ๑๐ รูป ใช้พระเปรียญ ๓ ประโยคเป็นพื้น พระสงฆ์รับผ้าไปครองเสร็จแล้วกลับขึ้นมานั่งที่จึงได้ทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการ ทรงตั้งสัตยาธิษฐานในการพระราชพิธีแล้วทรงศีล พระยาผู้ที่แรกนานั่งที่ท้ายพระสงฆ์ มีพานรูปเทียนดอกไม้ขึ้นไปจุดบูชาพระ รับศีลและฟังสวด เวลาที่สวดมนต์นั้นทางสายสิญจน์พาดที่ตัวพระยาผู้แรกนาด้วย นางเทพี ๔ คน ก็นั่งฟังสวดในม่านหลังพระแท่นมณฑล เมื่อทรงศีลแล้วจุดเทียนพานเครื่องนมัสการที่พระแท่นมณฑล และที่หอพระที่พลับพลา ทรงสุหร่ายประพรมน้ำหอมและเจิมพระพุทธรูปเทวรูปทุกองค์ในขณะนั้นอาลักษณ์นุ่งขาวห่มขาว รับทางสายสิญจน์พาดบ่า อ่านคำประกาศสำหรับพระราชพิธี คำประกาศสำหรับพระราชพิธีนี้เก็บรวบรวมความบรรดาที่เกี่ยวข้องในเรื่องการนา ที่มีมาในพระพุทธศาสนามาว่าโดยย่อๆ เป็นคำอธิษฐานในการพระราชพิธี เพื่อให้เกิดสวัสดิมงคล
คำประกาศนั้นมีข้อใหญ่ใจความดังต่อไปนี้ เริ่มต้นว่าคาถาเป็นทำนอนสรภัญญะ สำหรับสวดอธิษฐานในการพระราชพิธี ตั้งแต่ นโม ตัสส๎สะ ภควโต สุนิพ๎ตัส๎สะ ตาทิโน จนถึง สัม๎ปัชชันเตว สัพ๎พโสติ เป็นที่สุด พระคาถานี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขึ้นใหม่ เก็บข้อความย่อเป็นคำอธิษฐาน ดังจะได้กล่าวคำแปลสืบไปภายหน้า และพระคาถาถานี้มีพระนามพระเจ้าแผ่นดินอยู่ ที่ต้องใช้ผลัดเปลี่ยนตามพระนาม คือ อัม์หากัญ์จ มหาราชาเมื่อรัชกาลที่ ๔ ใช้ ปรเมม์โท มหิป์ปติ ในรัชกาลปัจจุบันนี้ใช้ ปรมิน์โท มหิป์ปตินอกนั้นก็คงอยู่ตามเต็ม เมื่ออ่านพระคาถาเป็นคำสรภัญญะจบลงแล้ว จึงได้เดินเนื้อความเป็นสยามพากย์คำร้อยแก้ว เริ่มตั้งแต่ขยมบาทบวร อาทรถวายอภิวาทเป็นต้น ข้อความที่ยกมาอธิษฐานเป็นเนื้อความ ๔ ข้อๆ หนึ่ง สรรเสริญพระพุทธคุณที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรม อันเป็นเครื่องระงับความเศร้าโศกเพราะสละกิเลสทั้งปวงได้สิ้น ชนทั้งปวงซึ่งเร่าร้อนอยู่ด้วยตัณหาไม่ควรเป็นที่งอกแห่งผล ได้สดับธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนก็ให้อุบัติงอกงามขึ้นได้ในสันดานพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น กับทั้งพระธรรมพระสงฆ์เป็นเนื้อนาอันวิเศษ เหตุหว่านพืชเจริญผล อนึ่งพืชคือกุศลอาจจะให้ผลในปัจจุบันและภายหน้า ขอจงให้ผลตามความปรารถนาคือในเดือนนี้กำหนดจรดพระนังคัลจะหว่านพืชในภูมินาขอให้งอกงามด้วยดี อย่ามีพิบัติอันตราย เป็นคำอธิษฐานข้อที่ ๑ ต่อไปยกพระคาถาภาษิตซึ่งมีมาในภารทวาชสูตร มายกขึ้นเป็นคำอธิษฐาน ความพระสูตรนั้นว่า พราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อกสิภารัทวาชะ ไปทำนาอยู่ในที่นาของตนพระพุทธเจ้าทรงเห็นอุปนิสัยว่าจะได้มรรคผล เวลาบิณฑบาตพระองค์เสด็จไปยังที่พราหมณ์ไถนาอยู่ แล้วตรัสปราศัย พราหมณ์จึงติเตียนว่าสมณะนี้ขี้เกียจ เที่ยวแต่ขอทานเขากิน ไม่รู้จักทำไรไถนาหาเลี้ยงชีวิตเหมือนเช่นเรา พระองค์จึงตอบว่า การทำนาเราก็เข้าใจ เราได้ทำนาเสร็จแล้ว แต่การนาของเราไม่เหมือนอย่างของท่าน เครื่องที่เป็นอุปการะในการนาของเรามีครบทุกสิ่ง คือศรัทธาความเชื่อเป็นพืชข้าวปลูก ตบะธรรมซึ่งเผากิเลสให้เร่าร้อน และอินทรียสังวรความระวังรักษาอินทรีย์ กับทั้งโภชนะมัตตัญญู รู้ประมาณในโภชนาหารเป็นน้ำฝน ปัญญาเป็นคู่เอกและไถ หิริเป็นงอนไถ ใจเป็นเชือกชักสติเป็นประตักสำหรับเตือน ความสัตย์เป็นท่อสำหรับไขน้ำ ความเพียรที่กล้าหาญสำหรับซักแอกไถ ความสำรวมใจเป็นของสำหรับปลดแอกไถ นำไปบรรลุที่อันเกษมจากกิเลสเครื่องประกอบสัตย์ ย่อมไปยังสถานที่ไม่รู้กลับเป็นสถานที่ไม่เศร้าไม่โศก มีแต่ความสุขสำราญ การไถของเราเช่นนี้ มีผลเป็นอมตะไม่รู้ตาย บุคคลมาประกอบการไถเช่นว่านี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์สิ้นทุกประการ ใจความในพระสูตรนั้นดังนี้ ที่ยกมาอธิษฐานในคำประกาศพระราชพิธีว่าเฉพาะแต่พระคาถา ยกว่าเป็นความจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัส ขออำนาจตามสัตย์นั้นให้ข้าวที่หว่านงอกงามทั่วชบบท และให้ฝนอุดมดี คำอธิษฐานนี้นับเป็นข้อที่ 2 ต่อนั้นไปยกคาถาซึ่งมีมาในเตมียชาดก มีเรื่องราวว่า พระเจ้าพาราณสีมีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งชื่อเตมียกุมาร เมื่อยังทรงพระเยาว์อยู่ พระบิดาอุ้มประทับในพระเพลาในเวลาเสด็จออกว่าราชการ สั่งให้ลงราชทัณฑ์แก่ผู้มีความผิดต่างๆพระเตมียกุมารได้ฟังก็มีพระราชหฤทัยท้อถอยไม่อยากจะรับราชสมบัติต่อไปจึงแกล้งทำเป็นใบ้เป็นง่อยเปลี้ยพิกลจริตจนทรงพระเจริญใหญ่ขึ้น พระบิดาสังให้นายสุนันทสารถีเอาไปฝังเสียในป่า พระเตมียกุมารจึงกล่าวคาถาแสดงผลที่บุคคลไม่ประทุษร้ายต่อมิตรสิบคาถาถา แต่ที่ยกมาใช้เป็นคำอธิษฐานในการพระราชพิธีนี้แต่สองคาถา เริ่มตั้งแต่ ภาสิตา จยิมา คาถา มีเนื้อความว่าศาสดาผู้เป็นใบ้และเป็นง่อยได้ภาษิตไว้ว่า ผู้ได้ไม่ประทุษร้ายต่อมิตร โคที่จะเป็นกำลังไถหว่านของผู้นั้น จะมีแต่เจริญไม่รู้เป็นอันตราย พืชพรรณใดๆ ที่ผู้นั้นได้หว่านลงในไร่นาแล้วย่อมงอกงามดีมีผลให้สำเร็จประโยชน์ ผู้นั้นย่อมได้บริโภคผลของพืชพรรณนั้นสมประสงค์ ไม่มีพิบัติอันตราย อีกพระคาถาหนึ่งนั้นว่าข้อหนึ่งผู้ใดไม่ประทุษร้ายต่อมิตร ผู้นั้นจะไม่รู้เป็นอันอันตราย ด้วยข้าศึกศัตรูหมู่ปัจจามิตรจะคิดทำร้ายก็ไม่อาจจะครอบงำย่ำยีได้ เปรียบประหนึ่งต้นนิโครธใหญ่ มีสาขากิ่งก้านรากย่านหยั่งลงกับพื้นแผ่นดินมั่นคงแน่นหนา แม้ถึงลมพายุใหญ่จะพัดต้องประการใด ก็ไม่อาจเพิกถอนต้นนิโครธให้กระจัดกระจายไปได้ฉะนั้น ข้อความในเรื่องเตมียชาดกมีดังนี้ ยกคาถานี้มาอธิษฐาน ด้วยอำนาจไมตรีจิต ขอให้ข้าวที่หว่านลงในภูมินาทั่วพระราชอาณาเขตงอกงามบริบูรณ์เป็นคำอธิษฐานข้อที่ ๓ ต่อนั้นไปอ้างพระราชหฤทัยพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งทรงพระเมตตากรุณาแก่ประชาราษฎร ตั้งพระราชหฤทัยจะบำรุงให้อยู่เย็นเป็นสุขทั่วหน้าเป็นความสัตย์จริง ด้วยอำนาจความสัตย์นั้นขอให้ข้าวงอกงามบริบูรณ์ทั่วพระราชอาณาเขต เป็นคำอธิษฐานข้อที่ ๔ คำอธิษฐานข้อที่ ๔ ข้อนี้ที่เป็นสยามพากย์แปลนี้เนื้อความลงกันกับพระคาถาที่กล่าวแล้วข้างต้น เป็นจบตอนหนึ่ง ต่อนั้นไปดำเนินคำประกาศเทพยดาแสดงพระราชดำริซึ่งทรงพระปรารภเรื่องพระพุทธรูป ซึ่งเรียกว่าคันธารราษฎร์ ยกนิทานในวาริชชาดกมากล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอยู่ ณ พระเชตวันในเมืองสาวัตถี
ฝนแล้ง ข้าวกล้าในมาแห้งทั่วทั้งเมือง น้ำในลำธารห้วยคลองหนองบึงทุกแห่งก็แห้ง จนถึงสระโบกขรณีที่เคยเป็นพุทธบริโภคน้ำก็แห้งจนเห็นตม ปลาทั้งหลายก็ได้ความลำบากด้วยฝูงกามาจิกกินเป็นอาหาร ต้องมุดซ่อนอยู่ในตม ในขณะนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จไปทรงบิณฑบาตเห็นเหตุดังนั้น ก็มีพระหฤทัยกรุณา เมื่อเสด็จกลับมาทำภัตกิจแล้วจึงตรัสเรียกพระอานนท์ให้นำผ้าอุทกสาฎกมาถวาย พระอานนท์ก็ทูลว่าน้ำในสระแห้งเสียหลายวันแล้ว พระองค์ก็ตรัสเรียกผ้าอุทกสาฎกยืนคำอยู่ พระอานนท์จึงนำมาถวาย พระองค์ทรงรับผ้ามา ชายส่วนหนึ่งนั้นทรงส่วนหนึ่งนั้นตระหวัดขึ้นบนพระอังสประเทศ เสด็จยืนที่ฝั่งทรงแสดงพระอาการพระหัตถ์ขวากวักเรียกฝน พระหัตถ์ซ้ายหงายรองน้ำฝน ขณะนั้นฝนก็ตกลงมาเป็นอันมาก ท่วมในที่ซึ่งควรจะขังน้ำทุกแห่ง มนุษย์และสัตว์ทั้งปวงก็มีความชื่นชมยินดี กล่าวคำสรรเสริญต่างๆ เมื่อพระองค์ทรงทราบจึงตรัสว่าแต่กาลปางก่อน นฬะปะมัจฉะชาติ คือปลาซ่อนก็อาจตั้งสัตยาธิษฐานให้ฝนตกลงได้ แต่ในคำประกาศนี้หาได้ยกคาถานฬะปะมัจฉะชาติมากล่าวไว้ไม่ ด้วยท้องเรื่องของคาถานั้นเป็นเรื่องขอฝน ในคำประกาศนี้ประสงค์แต่จะกล่าวถึงเรื่องพระพุทธรูปคันธารราษฎร์ ซึ่งยกเรื่องนิทานมากล่าวก็เพราะเรื่องเนื่องติดกันเท่านั้น เพราะฉะนี้จึงของดเสียไม่นำคาถาพระยาปลาช่อนอธิษฐานมากล่าวอธิบายในที่นี้ เหมือนอย่างเรื่องเตมียชาดก ด้วยคาถานั้นบางที่จะต้องกล่าวในพิธีพรุณศาสตร์ จึงจะขอว่าความตามประกาศนั้นต่อไปว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วได้สองร้อยปีเศษ มีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งได้ครอบครองเป็นใหญ่ในคันธารราษฎร์ มีความเลื่อมใสในพระมัชฌันติกะเถระจึงได้รับพระพุทธศาสนาไปถือสืบต่อกันมาหลายชั่วแผ่นดิน ภายหลังพระเจ้าแผ่นดินในคันธารราษฎร์องค์หนึ่งได้ทรงฟังเรื่องพระพุทธเจ้าทรงบันดาลให้ฝนตกนั้น ก็ทรงเลื่อมใสให้สร้างพระพุทธปฏิมากรมีอาการอย่างจะสรงน้ำทำปริศนาเรียกฝนเช่นนั้น ครั้นเมื่อปีใดฝนแล้งก็ให้เชิญพระพุทธปฏิมากรนั้นออกตั้งบูชาขอฝน ฝนก็ตกลงได้ดังประสงค์ ภายหลังมามีผู้นับถือพระพุทธศาสนาสร้างพระพุทธรูปมีอาการเช่นนั้น ต่อๆ มาก็เรียกสมญาว่าพระพุทธคันธารราษฎร์ เพราะเหตุที่ได้สร้างขึ้นในเมืองคันธารราษฎ์เป็นตัวอย่างต้นเดิมมา ครั้นเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปมีอาการเช่นนั้น จึงได้โปรดให้หล่อขึ้นใหม่ ก้าไหล่ทองคำไว้สำหรับตั้งในการพระราชพิธี เป็นจบเรื่องพระคันธารราษฎร์ ต่อนั้นไปว่าด้วยการพระราชกุศลที่ทรงบำเพ็ญในเรื่องพระราชพิธีนี้ทรงพระราชอุทิศแก่เทพยดาเป็นต้น แล้วเป็นความอธิษฐานตามพระราชพิธีลงปลายตามธรรมเนียม
ครั้นเมื่ออ่านประกาศจบแล้ว พระสงฆ์จึงได้สวดมนต์มหาราชปริตรสิบสองตำนาน เมื่อถึงท้ายสวดมนต์สวดคาถา นโม ตัสส๎สะ ภควโต สุนิพ๎พุตัส๎สะตาทิโน เหมือนอย่างเช่นอาลักษณ์อ่านเป็นทำนองสรภัญญะซึ่งกล่าวมาแล้วเมื่อสวดมนต์จบแล้วพระราชทานน้ำสังข์ใบมะตูม ทรงเจิมหน้าเจิมมือพระยาผู้แรกนาและนางเทพีทั้งสี่ แต่พระยาผู้แรกนานั้น ได้พระราชทานพระธำรงค์มณฑปนพเก้าให้ไปสวมในเวลาแรกนาด้วยสองวง แล้วพระครูพราหมณ์พฤฒิบาศมารดน้ำสังข์ให้ใบมะตูมต่อไป ขณะเมื่อพระราชทานน้ำสังข์นั้น พระสงฆ์สวดชยันโต ประโคมพิณพาทย์ เป็นเสร็จการในเวลาค่ำ รุ่งขึ้นเลี้ยงพระสงฆ์แล้วแห่พระพุทธรูปกลับ เป็นหมดพระราชพิธีพืชมงคล
พระราชพิธีจรดพระนังคัล เริ่มแต่เวลาบ่ายวันสวดมนต์พระราชพิธีพืชมงคล มีกระบวนแห่ๆพระเทวรูปพระอิศวร ๑ พระอุมาภควดี ๑ พระนารายณ์ ๑ พระมหาวิฆเนศวร ๑ พระพลเทพแบกไถ ๑ กระบวนแห่มีธงคู่แห่เครื่องสูงกลองชนะ คล้ายกันกับที่แห่พระพุทธรูป เป็นแต่ลดหย่อนลงไปบ้าง ออกจากในพระบรมมหาราชวังไปโดยทางบก เข้าโรงพิธีทุ่งส้มป่อยนาหลวงเวลาค่ำพระมหาราชครูพิธีทำการพระราชพิธีเหมือนอย่างพิธีทั้งปวง ไม่มีการแปลกประหลาดอันใด
รุ่งขึ้นเวลาเช้าตั้งกระบวนแห่ๆ พระยาผู้แรกนา กำหนดเกณฑ์คนเข้ากระบวนแห่ ๕๐๐ กระบวนนั้นไม่เป็นกระบวนใหญ่เหมือนอย่างแห่ยืนชิงช้าคือธงตราตำแหน่งของผู้แรกนานำ แล้วบโทนนุ่งตาโถงสวมเสื้อแดง สะพายดาบฝักแดงฝักเขียวสองแถว กระบวนสวมเสื้อเสนากุฎกางเกงริ้วสองแถวๆ ละ ๑๕ ถัดมาบโทนขุนหมื่น สวมเสื้อเข้มขาบอัตลัด สะพายดาบฝักเงินแถวละ ๑๕ กลองชนะ ๑๐ คู่ จ่าปี่ ๑ กรรชิงหน้าคู่ ๑ เสลี่ยงพระยาผู้แรกนาสัปทนบังสูรย์ มีหลวงในมหาดไทยคู่ ๑ กลาโหมคู่ ๑ กลาท่าคู่ ๑ กรมนาคู่ 1 กรมวังคู่ ๑ กรมเมืองคู่ ๑ เป็นคู่เคียง ๑๒ คน นุ่งผ้าไหมสวมเสื้อเยียรยับกรรชิงหลังคู่ ๑ บ่าวถือเครื่องยศและถืออาวุธตามหลังเสลี่ยง คู่แห่หลังถือดาบเชลยแถวละ ๑๕ ถือหอกคู่แถวละ ๑๕ ถือกระบองแถวละ ๑๕ พระยาผู้แรกนาแต่งตัวเหมือนยืนชิงช้า เมื่อถึงโรงพระราชพิธีเข้าไปจุดธูปเทียนบูชาเทวรูป แล้วตั้งสัตยาธิษฐานจับผ้าสามผืน ผ้านั้นใช้ผ้าลายหกคืบผืน ๑ ห้าคืบผืน ๑ สี่คืบผืน ๑ ถ้าจับได้ผ้าที่กว้างเป็นคำทำนายว่าน้ำจะน้อย ถ้าได้ผ้าที่แคบว่าน้ำจะมาก เมื่อจับได้ผ้าผืนใดก็นุ่งผ้าผืนนั้น ทับผ้านุ่งเดิมอีกชั้นหนึ่ง นุ้งอย่างบ่าวขุนออกไปแรกนา มีราชบัณฑิตคนหนึ่ง เชิญพระเต้าเทวบิฐประน้ำพระพุทธมนต์ไปหน้า พราหมณ์เชิญพระพลเทพหนึ่งเป่าสังข์ ๒ คน พระยาจับยามไถ พระมหาราชครูพิธียื่นประตักด้ามหุ้มแดง ไถดะไปโดยรีสามรอบแล้วไถแปรโดยกว้างสามรอบ นางเทพีทั้ง ๔ จึงได้หาบกระเช้าข้าวปลูก กระเช้าทอง ๒ คน กระเช้าเงิน ๒ คน ออกไปให้พระยาโปรยหว่านข้าว แล้วไถกลับอีกสามรอบ จึงกลับเข้ามายังที่พัก ปลดพระโคออกกินเลี้ยงของเสี่ยงทาย 7 สิ่งคือ ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่ว งา เหล้า น้ำ หญ้า ถ้าพระโคกินสิ่งใดก็มีคำทำนาย แต่คำทำทำนายนั้นมักจะว่ากันว่า ถ้าพระโคกินสิ่งใดสิ่งนั้นจะบริบูรณ์แต่ก็ดูว่ากันไปหลวมๆ เช่นนั้น ไปนึกไม่ออกเสียที่กินเหล้าอะไรจะบริบูรณ์เพราะจะสังเกตคำทำนายที่ถวายทุกๆ ปีก็สังเกตไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าใด้เห็นคำทำนายมา ๒๑ ครั้งแล้วก็มีแต่ว่า ข้าพระพุทธเจ้าโหรพราหมณ์พระราชทานพยากรณ์ว่า ในปีอะไรๆ ศกนี้ ธัญญาหารพลาหารจะบริบูรณ์ เหมือนกัน เป็นตีพิมพ์ทั้ง ๒๑ ครั้ง การเท่านี้เป็นเสร็จพระราชพิธีจรดพระนังคัล แห่พระยากลับ แล้วแห่
เทวรูปกลับ ในการจรดพระนังคัลเป็นเวลาคนมาประชุมมาก ถึงจะอยู่บ้านไกลๆ ก็มักจะมาด้วยมีประโยชน์ความต้องการเมื่อเวลาโปรยข้าวปลูกลงในนา พอพระยากลับแล้วก็พากันเข้าแย่งเก็บข้าวจนไม่มีเหลืออยู่ในท้องนาเลย เมื่อรัชกาลที่ ๔ ได้โปรดให้ไปชันสูตรหลายครั้งว่ามีข้าวงอกบ้างหรือไม่ ก็ไม่พบเหลืออยู่จนงอกเลย เมื่อทอดพระเนตรแรกนาที่เพชรบุรี พอคนที่เข้ามาแย่งเก็บพันธุ์ข้าวปลูกออกไปหมดแล้ว รับสั่งให้ตํารวจหลายคนออกไปค้นหาเมล็ดข้าวว่าจะหลืออยู่บ้างหรือไม่ ก็ไม่ใด้มาเลยจนสักเมล็ดหนึ่ง พันธุ์ข้าวปลูกซึ่งเก็บไปนั้น ไปใช้เจือในพันธุ์ข้าวปลูกของตัวให้เป็นสวัสดิมงคลแก่นาบ้าง ไปปนลงในถุงเงินให้เกิดประโยชน์งอกงามบ้างการแรกนาจึงเป็นที่นิยมของคนทั้งปวงไม่จืด ยังนับว่าเป็นพระราชพิธีซึ่งเป็นที่ต้องใจคนเป็นอันมาก
หัวเมืองซึ่งมีการแรกนา มีของหลวงพระราชทานเกิดขึ้นในรัชกาลที่ 4 คือกรุงเก่าเมือง ๑ เพชรบุรีเมือง ๑ แต่เมืองซึ่งเขาทำแรกนามาแต่เดิม ไม่มีของหลวงพระราชทาน คือเมืองนครศรีธรรมราช เมืองไชยา ๒ เมืองนี้เป็นเมืองมีพราหมณ์ๆ เป็นธุระในการพิธีแต่ผู้ว่าราชการเมืองได้ลงแรกนาเองมอบให้หลวงนาขุนนางเป็นผู้แรกนาแทนตัว เมืองสุพรรณบุรีอีกเมืองหนึ่งก็ว่ามีแรกนา ไม่ได้เกี่ยวข้องในการหลวงเหมือนกัน แต่ในปีนี้ได้จัดให้มีการแรกนาขึ้นเป็นการหลวงอีกเมืองหนึ่ง อนึ่ง พลับพลาที่ท้องสนาม รื้อย้ายไปที่ริมศาลหลักเมือง การแรกนาจึงได้ย้ายไปทำที่พลับพลาใหม่ ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นต้นไป
ที่มา : วรางคณา เพชรสน. (2552). พระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร.